Haunted House[DoubleB]

 

Haunted House

 

BOBBY X HANBIN

 

 

      รั้วเหล็กสีดำสูงตระหง่านตรงหน้าดูทะมึนทึมชนิดที่ว่าแค่เดินผ่านก็คงไม่มีใครอยากทำ ยิ่งบวกกับโลกด้านหลังรั้วที่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่เก่าแก่ ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตก และกาลเวลาก็ทำให้สีของมันทะมึนทึมไม่แพ้กับรั้ว

      คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว พวกไม้เลื้อยที่ขึ้นพันรอบตัวบ้านนั้นบ่งบอกได้ดีว่าที่แห่งนี้ไร้ซึ่งคนมาดูแล ต้นไม้ต้นสูงที่ไม่มีใบสักต้นดูเหี่ยวเฉารอวันตายในอีกไม่นาน  และสายลมที่พัดมาเบาๆ ก็หอบเอาความหนาวยะเยือกประหลาดมาด้วย

เพราะฉะนั้น สถานที่ที่ใครๆ ต่างพากันเรียกว่า ‘คฤหาสน์ผีสิง’ นี่เป็นสถานที่ที่ไม่ควรเฉียดกายเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้เขา ‘คิมฮันบิน’ กำลังยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่โคตรจะน่ากลัวแห่งนี้ในเวลามืดใกล้ค่ำเสียอย่างนั้น…

    แม่ง รู้อย่างนี้ไม่พนันกับพวกมันตั้งแต่ทีแรกดีกว่า

ร่างเล็กนึกหัวเสียในใจ จุดเริ่มต้นของการมายืนคนเดียวหน้าบ้านผีสิงนี่คือบทสนทนาหาเรื่องให้ตัวเองของเขาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

เป็นที่รู้กันว่าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้ถูกเจ้าของเดิมทิ้งร้างเป็นสิบๆ ปีและไม่มีใครมาดูแลเลยนับตั้งแต่นั้น กาลเวลาทำให้สภาพของมันเก่าลง พวกต้นไม้ต่างแห้งเหี่ยวเนื่องจากไม่มีคนรดน้ำพรวนดิน ยายของเขาเคยเล่าว่าแต่ก่อนคฤหาสน์หลังนี้สวยงามยิ่งกว่าหลังไหนในละแวกนี้ เป็นบ้านของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ซื้อเอาไว้และไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แม้แต่วันที่เขาย้ายออกไปก็แทบไม่มีใครรู้ บ้านหลังนั้นถูกทิ้งร้างไม่มีวี่แววของเจ้าของใหม่ และความเก่าแก่ของมันก็เป็นที่น่าขนหัวลุก ตอนกลางคืนนั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่านคฤหาสน์หลังนี้เสียด้วยซ้ำ

และเรื่องพวกนี้คือประเด็นที่กลุ่มเพื่อนของเขานั่งคุยกันถึงเรื่อง ‘ผี’ ในบ้านหลังนี้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า เพราะบางคนก็เลยเล่าว่าเห็นเงาคนวูบไหวไปมาในบ้าน และบางครั้งก็มีคนเห็นแสงสว่างมาจากด้านใน เพื่อนของเขาที่นั่งล้อมวงกันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นผีแน่ๆ เพราะคงไม่มีคนที่ไหนใครเข้าไปอยู่แล้วทำตัวน่ากลัวแบบนั้น

ประเด็นอยู่ที่เขาดันแย้งพวกมันขึ้นมา

เขาเคยเดินผ่านคฤหาสน์หลังนี้ในตอนกลางวันและรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นักก็เลยลองมองผ่านรั้วเหล็กสีดำดู สิ่งที่เขาเห็นคือคฤหาสน์เก่าและต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง แต่ทว่า…หญ้าที่คฤหาสน์แห่งนี้กลับไม่รกเลยราวกับถูกตัดทุกวัน อีกทั้งเถาวัลย์ไม้เลื้อยต่างๆ ที่พันรอบตัวบ้านก็ไม่ได้เยอะแบบที่ควรจะเป็น

ผีที่ไหนจะมาตัดหญ้ากัน…

นั่นทำให้เขาแย้งพวกมันไปว่าที่นั่นไม่มีผีหรอก คงจะเป็นคนที่เข้ามาอยู่แบบเงียบๆ มากกว่า และก็ถูกเพื่อนโต้กลับมาว่าถ้าเป็นคนจะไม่ออกมาให้เห็นตัวเลยหรือไง

จากนั้นเขาก็ถูกท้าให้มาพิสูจน์ว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่จริงๆ หรือไม่กันแน่  และถ้าหากเขาพิสูจน์ได้ว่าคือคนจริงๆ รางวัลคือพวกมันจะทำเวรห้องแทนเขาหนึ่งเดือนเต็มๆ

และเพราะแต่เดิมเขาเป็นคนไม่กลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้วก็เลยรับข้อเสนอของพวกมัน ใครจะไปรู้ว่าบรรยากาศของที่นี่ตอนกลางวันกับตอนกลางคืนมันต่างกันลิบลับ

ตอนกลางวันเขารู้สึกว่ามันไม่น่ากลัวเลย แต่ทว่าพอลองมายืนอยู่ที่นี่ในตอนกลางคืน…เขาก็รู้ว่าที่นี่น่าขนลุกไม่เบาเลย

แต่ไม่ว่ายังไง เขาจะเข้าไปพิสูจน์ให้ได้ว่ามีคนอยู่จริงหรือเปล่า!

สายลมพัดเอื่อยๆ มาแตะต้องผิวกายชวนให้รู้สึกขนลุกแปลกๆ เขามองหาทางที่จะเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้ ความคิดแรกคือจะปีนรั้วแต่มันก็สูงโคตรๆ เขาน่าจะคอหักตายก่อนเข้าไปถึงข้างใน

และระหว่างที่เขากำลังมองซ้ายมองขวาอยู่นั้นเอง ประตูรั้วเหล็กด้านหน้าก็แง้มออกเนื่องจากถูกลมพัด เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ใส่กุญแจไว้

บ้านที่ถูกทิ้งร้างแล้วยังไม่ได้ขายต่อให้ใครทำไมถึงไม่ล็อครั้วไว้ นี่ไม่กลัวขโมยเลยหรือไง

เขาสูดหายใจเข้าเบาๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจก้าวข้ามรั้วสีดำน่ากลัวนี่ไปเพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดมันจริงหรือไม่

ความอยากรู้ของคนเราบางครั้งก็พาเรื่องเดือดร้อนมาได้

แต่มาถึงขนาดนี้จะให้เขากลับไปมันก็ไม่ใช่คิมฮันบินแล้ว

 

 

เปลือกตาสีมุกเปิดขึ้น ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงวาบเมื่อรับรู้ได้ว่ามีใครกำลังผ่านเข้ามาในอาณาเขตของตน กายสูงใหญ่ของ ‘คิมจีวอน’ ลุกขึ้นจากเตียงนอนแสนกว้าง หยิบเสื้อคลุมสีดำที่พาดอยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวมใส่ทับร่างกายเปลือยเปล่าก่อนจะก้าวเท้าไปยังหน้าต่าง

และภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาก็สะท้อนอยู่ในดวงตาคม

ความสงสัยผุดขึ้นมาในหัวของร่างสูง ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ไหนกล้าก้าวล้ำเข้ามาในเขตคฤหาสน์ แต่อยู่ๆ วันนี้ก็มีใครก็ไม่รู้กำลังบุกเข้ามา

ท่าทางไม่เหมือนโจร และจากที่เขาสัมผัสได้อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย

แล้วเข้ามาทำไม?

ดวงตาคมมองการกระทำของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตนถูกจับจ้องด้วยสายตาของเจ้าของบ้าน อีกฝ่ายหยุดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์  สีหน้าไม่ดีเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีแม่กุญแจอันใหญ่ล็อคไว้อยู่  เขาหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อเห็นอีกคนชะเง้อมองหาทางเข้าด้วยท่าทางที่แสนตลก

ที่นี่รัดกุมและปลอดภัยเกินกว่าจะมีใครเข้ามาได้ง่ายๆ…และเขาเองก็แปลกใจว่าอีกฝ่ายข้ามรั้วเข้ามาได้ยังไง

และด้วยสายตาที่ดีกว่ามนุษย์มากนักเขาจึงเห็นชัดเจนว่าเด็กผู้ชายคนนั้นกำลังย่นจมูกเข้าหากันอย่างจนใจเพราะไม่มีทางเข้าเลย หน้าต่างและประตูถูกปิดสนิท และนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา

    เออ พอทำหน้าหงุดหงิดแบบนั้นแล้วน่าแกล้งดี

โทษฐานที่กล้าบุกเข้ามาในเขตของเขา คงต้องจัดการให้วิ่งกลับบ้านแทบไม่ทันแล้ว

 

 

จู่ๆ ประตูบานใหญ่ตรงหน้าก็เปิดออกจนเขาที่ยืนมองซ้ายมองขวาหาทางเข้าเบิกตาโตอย่างตกใจ แม่กุญแจอันใหญ่หายไปราวกับประตูบานนี้ไม่เคยล็อคมาก่อน

เมื่อกี้มันยังล็อคแน่นหนาชนิดที่ว่าเอาอะไรมางัดก็คงไม่ออกอยู่เลย แล้วทำไม…

บางทีเขาอาจจะตาฝาด บ้านที่มีคนอยู่มันต้องไม่ล็อคจากข้องนอกก็ถูกแล้วนี่

เขาเปิดไฟฉายในมือก่อนจะฉายมันเข้าไปด้านในพร้อมกับการตัดสินใจก้าวขาไปผจญกับอะไรที่ไม่อาจะคาดเดาได้ ด้านในมืดสนิทและวังเวงจนน่ากลัว ถ้าเป็นคนอื่นคงวิ่งตั้งแต่อยู่หน้ารั้ว แต่เพราะเป็นเขาที่ค่อนข้างใจแข็งกับเรื่องพวกนี้จึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่

แต่ถ้าถามว่ากลัวไหม…ตอบเลยว่าก็นิดหน่อย

ที่นี่ไม่เหมือนบ้านร้าง เพราะกลิ่นหอมจางๆ ของบางอย่างคือสิ่งแรกที่เข้ามาสัมผัสจมูกของเขาในขณะที่สายตามองไม่เห็น มันไม่ใช่กลิ่นอับในแบบที่บ้านร้างที่ถูกทิ้งหลายสิบปีควรจะเป็น แต่มันเป็นกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกเย็นและสุขุมนุ่มลึกในเวลาเดียวกัน

เกร๊ง~

เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างตกกระแทกกับพื้น ไฟฉายในมือฉายหาต้นตอของเสียงแต่ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างกลับมาเงียบสนิทท่ามกลางความมืด หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้นเหตุของเสียงนั้นจะเป็นอะไร

โชคดีที่ไฟฉายของเขาส่องไปกระทบกับแผงสวิตช์ไฟพอดี สภาพมันดูใหม่เอี่ยมจนเขาสงสัยว่ามันยังใช้ได้อยู่ไหม และไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ดีกว่าการลองเปิดดู

พรึ่บ!

ไฟเกือบทั้งหลังสว่างขึ้นมาทันทีจนเขาต้องหรี่ตาเพื่อให้ตาปรับโฟกัสสักพัก และเมื่อลืมตาขึ้นมามอง ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับอึ้ง

สภาพด้านในนั้นสวยมาก เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบและแต่ละชิ้นท่าจะมีราคาไม่น้อย ไร้ซึ่งผ้าคลุมกันฝุ่นและเมื่อใช้นิ้วปาดดูก็พบว่ามันสะอาด ราวกับเครื่องเรือนพวกนี้ได้รับการดูแลอย่างดี  ไม่มีชิ้นไหนบุบสลาย และในตัวคฤหาสน์หลังกว้างนี้ก็ไม่มีส่วนใดผุพังเลยแม้แต่นิดเดียว

ไม่ใช่…นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ที่ถูกทิ้งร้างเป็นสิบๆ ปีแน่

แต่แล้วทำไมด้านหน้าบ้านถึงได้น่ากลัวขนาดนั้นทั้งๆ ที่ข้างในสวยขนาดนี้ล่ะ?

ปัง!

รอบนี้เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดดังลั่น หันไปดูก็พบว่าเป็นประตูทางเข้านั้นเอง มันอาจจะโดนลมพัดจนปิดเสียงดังขนาดนี้

เขาหันกลับมาสนใจกับรอบๆ ตัวต่อ รูปถ่ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังด้านหนึ่งของคฤหาสน์ดึงดูดสายตาเขาได้เป็นอย่างดี มันเป็นรูปถ่ายที่ค่อนข้างเก่า…เขาหมายถึงมันดูเป็นการถ่ายภาพที่น่าจะถ่ายนานแล้ว ในรูปมีผู้ชายสองคนที่หน้าตาคล้ายๆ กัน แต่มีคนหนึ่งแก่กว่าและอีกคนดูเหมือนจะอายุแค่สิบสามสิบสี่เท่านั้น ตรงกลางคือผู้หญิงหน้าตาสวยแบบชนชั้นสูงคนหนึ่ง เขาเดาว่าน่าจะเป็นรูปถ่ายครอบครัว

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อที่จะถ่ายรูปไปยืนยันกับเพื่อนว่าที่นี่มีคนอยู่  แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์ในมือก็ปลิวออกจากมือเขาตกลงไปกระแทกพื้นทันที

“เฮ้ย!” เขาร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งไปเก็บโทรศัพท์คู่ใจทันที เมื่อลองกดปุ่มเปิดเครื่องดูก็พบว่ามันได้ดับไปแล้ว แม้ว่าจะพยายามกดเปิดเครื่องเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล

ชิบหายแล้วมั้ยล่ะ เมื่อกี้เขาว่าเขาแค่หยิบมันออกมาเฉยๆ เองนะ ทำไมมันถึงหลุดมือแบบนั้นได้ แล้วเขาจะบอกแม่ยังไงล่ะทีนี้!

จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง ร่างโปร่งหันขวับทันทีแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

ตึง!

เสียงดังบางอย่างดังมาจากด้านบนอีกแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงก็เจอแต่ความมืดเนื่องจากไฟที่เปิดนั้นเปิดเพียงแค่ชั้นล่างของคฤหาสน์ ส่วนข้างบนนั้นมืดสนิท แต่ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด เพียงชั่วครู่ที่เงยหน้าขึ้นไปคล้ายกับว่ามีคนอยู่ข้างบน  ไฟฉายในมือถูกเปิดขึ้นอีกครั้งก่อนขาเรียวจะเดินตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปดูว่าเสียงนั่นเกิดจากอะไรกันแน่

แสงไฟสีขาวกวาดไปยังทุกพื้นที่ของชั้นบน เขาพยายามหาสวิตช์ไฟแต่มันกลับไม่มี แต่จากที่เห็นผ่านแสงของไฟฉายเขาคิดว่าข้างบนนี้คงไม่ต่างจากข้างล่าง ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีกลิ่นหอมจางๆ กระจายอยู่ในอากาศ

และแสงไฟฉายในมือเขาก็ไปกระทบเข้ากับประตูห้องๆ หนึ่งที่แง้มไว้

อาจจะมีคนอยู่ในห้องนี้…

เขาค่อยๆ ก้าวเข้าใกล้ประตูบานนั้นด้วยความลุ้นระทึก อะดรีนาลีนในร่างกายหลั่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อไม่อาจจินตนาการได้ว่าห้องๆ นี้จะมีคนอยู่อย่างที่เขาคิดจริงไหม และคนที่อยู่ด้านในจะทำอันตรายเขาหรือเปล่า เพราะหากมีคนอยู่จริง…เขาก็มีความผิดข้อหาบุกรุกไปแล้วหนึ่งกระทง เข้าบ้านคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ใครๆ ก็คงคิดว่าเป็นโจร

ประตูบานใหญ่ถูกผลักเข้าไปอย่างช้าๆ และภาพที่เห็นคือมันเป็นห้องที่ว่างเปล่า ประกอบด้วยเตียงขนาดใหญ่และข้าวของเครื่องใช้อีกเล็กน้อย มีโต๊ะ ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งทีวีติดผนัง สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่ามีคนอยู่ก็คือเตียงนอนและผ้าห่มที่ยับยู่ยี่นั่น

เดี๋ยวนะ…คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีใครอยู่มานานหลายสิบปี แต่ทำไมกลับมีสารพัดเฟอร์นิเจอร์ครบครันแบบนี้ได้

และในขณะที่เขากำลังขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับตัวเอง กลิ่นหอมเย็นๆ ที่ได้กลิ่นไปทั่วทุกที่ของบ้านก็ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับ…เจ้าของกลิ่นอยู่ใกล้เขาเพียงไม่กี่ก้าว

ร่างเล็กหันขวับในทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงไฟทั้งห้องสว่างวาบขึ้นมา เมื่อภาพทุกอย่างชัดเจนขึ้นก็ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ

นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเรืองวาบเด่นชัดในสองตาของเขา พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาใกล้

เขามืออ่อนจนเกือบทำไฟฉายตก ไม่ใช่แน่… ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนแน่ๆ

“ค…คุณ”

“มนุษย์นี่ชอบบุกเข้าบ้านคนอื่นเหมือนกันเหรอ” อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเรียบ

จากสรรพนามที่ใช้เรียกเขาเมื่อกี้ทำให้ยิ่งเชื่อเข้าไปอีกว่าหมอนี่ไม่ใช่คนแน่ๆ เขาเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งที่ปลายเตียงอย่างพอดิบพอดี ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้เจอผีตัวเป็นๆ

“เอ้า ช็อกตายไปแล้วเหรอน่ะ ทีเดินเข้ามาเดี่ยวๆ ตอนกลางคืนยังไม่กลัว เจอเจ้าของบ้านหน่อยเข่าอ่อนเลยหรือไง”

“คุณ…เป็นผีจริงๆ เหรอ…”

“หือ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

“คุณเป็นผีเหรอ…ไม่…ไม่ดิ ผีอะไรทันสมัยขนาดนี้…หลอกผมเหรอ” ราวกับพูดกับตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นมาถามอีกฝ่ายในประโยคสุดท้าย

“ถ้าจัดสิ่งมีชีวิตประเภทฉันไว้ในหมวดผีก็แล้วแต่” อีกฝ่ายเอ่ยตอบ “นายเข้ามาที่นี่ทำไม”

“คุณจะ…ทำอะไรผมไหม” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าระแวง แต่อยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะออกมา

“อือ ทำ ฉันจะฉีกนายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนออกไปไว้นอกรั้วให้คนอื่นเห็นว่าไม่ควรแอบเข้ามาในบ้านฉัน” อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมกับยักคิ้วเล็กน้อย “เฮ้ หน้าซีดหมดแล้ว”

น้ำเสียงอีกฝ่ายดูตลกเสียเหลือเกินที่ทำให้เขากลัวได้ขนาดนี้ ร่างไล่สำรวจผู้ชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าคมคายได้รูป ดวงตาสีน้ำเงินประหลาด และรูปร่างสูงโปร่งชนิดที่ว่าเขาต้องเงยหน้ามองจนคอแทบตั้งฉาก

ถ้าเกิดว่าเป็นคนหมอนี่คงเป็นนายแบบได้สบายเลย ทุกอย่างของอีกฝ่ายมีเสน่ห์ดึงดูดจนเขาเองยังแปลกใจ

โดยเฉพาะกลิ่นหอมดอกไม้เย็นๆ นี่…

“วางใจเถอะ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก โชคดีของนายแล้วที่ฉันทำไม่ได้ แล้วอีกอย่างก็คงไม่จำเป็นต้องทำ…”

“ไหนๆ นายก็หลงเข้ามาอยู่ในบ้านฉันแล้ว และฉันก็ทำอะไรนายไม่ได้ นายว่าเราไปหาที่คุยกันหน่อยดีไหม”

“ครับ?…เอ่อ ก็ได้…”

“หรือนายพอใจอยากจะนั่งคุยกับฉันบน ‘เตียง’ ตรงนี้ก็ตามใจ”

สิ้นประโยคเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาทันทีเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย ใบหน้าน่ารักขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากท่าทางตลกตัวเขาเต็มทีของหมอนี่

“ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

เราสองคน(หรือเขาไม่ควรเรียกอีกฝ่ายว่าคน)เดินออกมาจากห้องนอนเพื่อลงไปยังด้านล่างตามที่อีกฝ่ายเสนอ ชั้นบนไม่ได้ปิดไฟมืดเหมือนตอนขึ้นมาแล้ว และมันก็ดูเรียบร้อยเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้

เมื่อลงมาถึงห้องรับแขกร่างของเจ้าของบ้านก็ทิ้งตัวลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดงเข้มพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง เขามองหาที่ที่จะนั่งก่อนจะเลือกโซฟาที่อยู่ด้านขวามือ

“ฉันคิมจีวอน นายล่ะ”

“ผมคิมฮันบิน” เขาเอ่ยตอบ

“ไงฮันบิน มีอะไรจะถามฉันมั้ยล่ะ”

“คุณ…เป็นตัวอะไร” เขาเริ่มคำถามที่สงสัยมานานทันที อีกฝ่ายยกยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

“ชนชั้นสูง”

ฮะ!?

“เผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงก็คือพวกแวมไพร์ แต่ต่างกันตรงที่ฉันไม่กลัวแดด อีกอย่าง ฉันมีอำนาจมากกว่าผีพวกนั้นเยอะ”

“ผมไม่เข้าใจ…”

“ชนชั้นสูงคือคำเรียกอมนุษย์ที่มีพละกำลังและพลังเหนือกว่าอมนุษย์ตนไหนๆ แล้วก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของคนอื่น หรือเรียกอีกอย่างนึงก็คือพวกเรากินวิญญาณ ที่สำคัญคือพวกฉันไม่ล่าเหยื่อสะเปะสะปะ เหยื่อทุกคนที่พวกฉันจะกินต้องยินยอมให้กิน”

“แล้วทำไมเหยื่อพวกนั้นถึงยอมให้พวกคุณกินวิญญาณล่ะ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะตายเลยนะ”

“มันก็เหมือนกับเวลานายอยากได้บางอย่างจากแม่ นายก็จะพยายามขอแม่นายให้ได้ พวกฉันก็เหมือนกัน เราใช้วิธีการพูดคุยหลอกล่อให้อีกฝ่ายตกลง แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปเราก็เริ่มปรับตัวโดยการกินอาหารแบบมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าทำได้ เหล่าชนชั้นสูงจึงสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้โดยที่ไม่ผิดสังเกต”

ในเมื่อร่างสูงบอกว่าชนชั้นสูงสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ แล้วทำไมหมอนี่ถึงได้มาอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ร้างไกลผู้คนแบบนี้ล่ะ

“แล้ว…ทำไมคุณอยู่คนเดียวในบ้านร้างนี้ล่ะ”

“ความแตกต่างระหว่างอาหารที่นายคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กกับอาหารที่นายจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อที่จะกินมันคืออะไรล่ะ?” อีกฝ่ายยกยิ้ม “อาหารที่นายคุ้นเคยต้องให้ความรู้สึกที่ดีกว่าอยู่แล้ว และฉันก็โคตรจะชอบเลย ฉันล่าเหยื่อด้วยความคึกคะนอง แถมยังฆ่าพวกล่าปีศาจตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งพลังของฉันแข็งแกร่งฉันก็ยิ่งทะนง ละเมิดกฎทุกข้อที่ตระกูลของฉันตั้งไว้ สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกมนุษย์ ฉันล่าเหยื่อวันละเป็นสิบ จนพ่อของฉันทนไม่ไหวลงมาจัดการด้วยตัวเอง”

“ท่านลงโทษฉันโดยทำให้ฉันเสียพลังในตัวไปเกือบครึ่ง และไล่ฉันมาอยู่ที่คฤหาสน์นี่ภายใต้การดูแลของพ่อบ้านที่อ่อนกว่าฉันตั้งร้อยกว่าปี  ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้เพราะไม่มีพลังมากพอ ถ้าเจอกับโจทย์เก่าๆ เข้าล่ะก็ได้ซี้แหงเอาง่ายๆ สิ่งที่ฉันทำในทุกๆ วันก็คือนอนหลับวันละเกือบยี่สิบชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลัง แล้วก็ตื่นขึ้นมากินอาหารมนุษย์”

“คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว…”

“อืม จะสองร้อยปีแล้วมั้ง อีกสิบกว่าปีก็ครบกำหนดที่พ่อเนรเทศฉันมา ตอนนี้พลังฉันยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่เมื่อครบสองร้อยปีพลังทุกย่างของฉันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

สองร้อยปี! หมอนี่อยู่มานานกว่าตาทวดยายทวดของเขาซะอีก นี่มันนานกว่าที่หลายๆ คนเชื่อว่าบ้านหลังนี้ร้างมาห้าสิบปีด้วยซ้ำ สรุปเรื่องพวกนั้นก็ไม่จริงเหรอ

แต่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนอีกฝ่ายอายุแค่ยี่สิบกลางๆ เอง

“ฉันอยู่ที่นี่เงียบๆ มาเป็นร้อยๆ ปีโดยอาศัยทำให้คนคิดว่านี่เป็นคฤหาสน์ร้างขนหัวลุก ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ยิ่งห่างไกลหมู่บ้านแบบนี้ยิ่งไม่มีใครผ่านไปผ่านมา แต่ยกเว้นนาย…” ร่างสูงเว้นวรรคพร้อมกับจ้องมองมายังเขา “ทำไมนายถึงกล้าเข้ามาที่นี่”

“เพราะ…ผมคิดว่ามีคนอยู่”

“หือ?”

“ก็…จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยกลัวผีเท่าไหร่ก็เลยกล้าเดินผ่านหน้าบ้านของคุณเวลาที่ไปโรงเรียนสายหรือโดดเรียน  แล้วผมก็เห็นว่าบ้านคุณวังเวงก็จริง ต้นไม้ก็เหี่ยวแห้ง แต่หญ้าที่สนามกลับถูกตัดซะสั้นเกรียนหมด บ้านร้างน่ะควรจะมีหญ้ารกๆ สิ”

“หึ หมอนั่นคงไปตัดหญ้าอีกตามเคย ฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าให้ปล่อยไปแต่ก็ยังยืนยันจะตัดให้ได้”

“นั่นแหละ ผมก็เลยพนันกับเพื่อนไว้นิดหน่อยว่าสรุปคฤหาสน์หลังนี้มีคนอยู่หรือไม่มี”

“ถ้างั้นนายก็แพ้พนันแล้ว เพราะที่อยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่คน:)”

“ต่อให้จะใช่หรือไม่ใช่ผมก็ไม่ชนะหรอก โทรศัพท์ผมพังไปแล้ว ไม่มีรูปยืนยันว่าผมมาที่นี่จริงๆ” เขาว่าพร้อมกับล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาลองเปิดเครื่องอีกครั้ง และแน่นอน นิ่งสนิท

“ความลับของที่นี่สำคัญเกินกว่าจะให้หลุดรั่วออกไปได้ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวออกไปโทรศัพท์นายก็ใช้งานได้”

ร่างสูงเอ่ยก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาติดผนัง ตอนนี้ดึกมากแล้ว และอีกไม่นาน ‘กูจุนฮเว’ พ่อบ้านที่ถูกบุพการีของเขามอบหมายให้มาดูแลก็คงกลับมาถึงนี่หลังจากถูกเรียกไปที่บ้านใหญ่

“นายควรจะกลับได้แล้ว”

ร่างเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู และด้วยความที่อีกฝ่ายหันด้านหน้าปัดไว้ที่ข้อมือด้านใน จึงจำเป็นจะต้องดึงเสื้อแขนยาวที่ปิดหน้าปัดนาฬิกาไว้เพื่อดูเวลา

และบางสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาคมก็ทำให้คนเป็นเจ้าของบ้านนิ่งชะงักไป

ฟึ่บ!

“เฮ้ย!!!”

เขาร้องออกมาเสียงดังเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมืออย่างรวดเร็ว แขนเล็กรีบชักกลับมาแต่ทว่ากลับถูกมือใหญ่ๆ นั่นตรึงไว้จนเขยื้อนไม่ได้

อะ…อะไรกัน!

อีกฝ่ายจดจ้องไปยังหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของเขา…ไม่สิ ไม่ใช่นาฬิกา  อีกฝ่ายกำลังจ้องข้อมือของเขาต่างหาก

และในขณะที่เขากำลังใจไม่ดีกลัวอีกฝ่ายจะนึกคึกตัดแขนเขาก่อนกลับบ้าน ข้อมือเล็กก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ เขาดึงมือตัวเองกลับมากอดไว้ทันทีพร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องลึกลงมาในดวงตาของเขา… และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขารู้สึกเหมือนบางอย่างในอกกำลังเต้นแรงขึ้นทีละนิด

“ผม…ผมกลับบ้านก่อนนะ ลาล่ะครับ”

ร่างเล็กเอ่ยรัวๆ ก่อนจะจ้ำอ้าวไปยังประตูบ้านทันที เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับแผ่นหลังเล็กที่หายไป

อีกไม่นานคิมฮันบินจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เจอมานี้…

แต่ทว่าเขากลับจะจำมันขึ้นใจ

 

 

ร่างสูงโปร่งของพ่อบ้านตระกูลคิมปรากฏกายพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับมีลางสังหรณ์ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน ร่างสูงรุดกายไปหา ‘คุณชายคนรอง’ ที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ทำตัวแหกคอกจนต้องโดนลงโทษเป็นร้อยปีว่ายังปกติดีอยู่หรือเปล่า

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพอเป็นพิธีก่อนกูจุนฮเวจะก้าวเข้ามาภายในห้อง แผ่นหลังกว้าของผู้เป็นเจ้านายปรากฏอยู่ตรงระเบียง

“มีคนเข้ามาที่นี่ตอนผมไม่อยู่เหรอครับ” เขาเอ่ยถาม

“จุนฮเว…” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปกว่าเดิม

“ครับ”

“พ่อฉันเคยบอกก่อนจะไล่ฉันมาที่นี่ว่ายังไงนะ”

พ่อบ้านหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าคุณชายของเขาจะอยากรู้ไปทำไม เพราะปกติก็แทบไม่สนใจที่ท่านชายพูดอยู่แล้ว แต่เมื่อผู้เป็นเจ้านายถามเขาก็มีหน้าที่ต้องตอบ

“ท่านบอกให้คุณจีวอนทำตัวดีๆ อยู่อย่างสงบจนกว่าจะครบสองร้อยปี ห้ามทำความเดือดร้อนให้ใคร และในระหว่างนี้ถ้าสามารถหาเจ้าสาวเจอได้ คุณท่านจะคืนพลังให้คุณชายโดยไม่ต้องรอครบสองร้อยปี แต่มีข้อแม้ว่าคุณชายต้องแต่งงานกับเจ้าสาวที่พบด้วยเช่นกัน”

แต่งงานงั้นเหรอ…

ถ้าเป็นเด็กคนนั้นจริงก็ไม่เลว

“จุนฮเว…”

“ครับคุณชาย”

“นายไปบอกพ่อว่าให้เตรียมคืนพลังให้ฉันเลยดีกว่า”

 

 

 

“ฉันเจอเจ้าสาวแล้ว:)”

 

 

 

 

 

 

 

THE END

รู้สึกดีมากๆ ค่ะที่ได้เป็นหนึ่งในกิจกรรม #HalloWINKON ถึงแม้ว่าจะแต่งแทบไม่ทันก็ตาม5555

หวัดรับประทานอย่างรุนแรงแต่เราก็ยังพยายามมาแต่งให้จบ เหนื่อยเหลือเกิน

จริงๆ มีจุนฮวานอีกเรื่องนะคะเพราะนี่สุ่มมาสองคำ แต่ส่งไม่ทันกำหนด ฮือ5555555

คิดว่าต้องได้ลงเหมือนกันค่ะแต่อาจจะช้าหน่อย รอให้หวัดหายก่อน ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ แฮปปี้ฮาโลวีนเดย์ค่ะ เลิ้บบบบบ

 

 

Christmas gift [Dansung]

 

Christmas gift

 

Daniel x Jisung

Week 11 : Christmas

Time : 23/12/60 – 30/12/60

hashtag : #แดนซองรายสัปดาห์

 

  เทศกาลคริสต์มาสคือวันแห่งการเฉลิมฉลองของครอบครัวที่แสนวิเศษ

  เพราะฉะนั้นในวันคริสต์มาสอีฟแบบนี้เขากับแดเนียลเลยพากันออกมาซื้อของสำหรับวันคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน

 “จะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้ลูก?”

  เขาเอ่ยถามร่างสูงในขณะที่เขากำลังจดๆ จ้องๆ อยู่กับเครื่องบินบังคับลำใหญ่ที่จำได้ว่าเจ้าลูกชายตัวน้อยอยากได้ ส่วนแดเนียลเองก็กำลังไล่สายตาพินิจพิเคราะห์ตุ๊กตาที่เหมาะกับเด็กผู้ชายอยู่หน้าชั้นวาง

 “ตุ๊กตาหมูตัวนั้นที่ฮักนยอนบอกว่าอยากได้ แต่ตอนนี้ผมหามันไม่เจอแล้ว มีคนมาซื้อไปแล้วหรือเปล่านะ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย

 “ฉันช่วยหาไหม”

  เขาเอ่ยพร้อมกับเดินไปยังชั้นวางตุ๊กตา แดเนียลถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อให้เขาหาได้สะดวก

“เหมือนฉันจะเคยเห็นมันวางอยู่แถวนี้นะ แต่ถ้าไม่เจอก็คงต้องซื้ออย่างอื่น …อ่ะ นี่ไง ตัวนี้ใช่ไหม อ๊ะ!”

 เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันมาแล้วเจอกับร่างสูงที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ระยะห่างระหว่างเราะสองคนช่างน้อยนิด มีเพียงตุ๊กตาหมูสีชมพูที่คั่นกลางเอาไว้ เขาหน้าตื่นในขณะที่แดเนียลส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้

 “นี่! นี่มันในห้างนะ”

 “ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลย ก็แค่เห็นว่าท่าทางคุณตอนหาตุ๊กตามันน่ารักดีเลยมาดูใกล้ๆ”

 “มันใกล้ไป ถอยเลยๆ” เขาเอ่ยรัวๆ ก่อนจะดันอกอีกคนและแดเนียลก็ยอมถอยไปแต่โดยดี หัวใจของเขาเต้นตึกตัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่วัยรุ่นที่ต้องเขินกับเรื่องแบบนี้เพราะเขากับแดเนียลแต่งงานกันมาได้เข้าปีที่สี่แล้ว แต่เขาก็ยังใจเต้นทุกครั้งที่อีกคนใกล้ชิดแบบนี้อยู่ดี

 “เขินเหรอครับคุณยุนจีซอง~ น่าจับมาหอมกลางห้างจริงๆ เลย”

  อีกคนก็ยังไม่วายตามมาแกล้งเขา คนตัวเล็กหยิบตุ๊กตาหมูและเครื่องบินบังคับกล่องใหญ่ใส่รถเข็นก่อนจะเข็นหนีอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้รู้ตัวว่าใบหน้าของตัวเองนั้นแดงแปร๊ดอย่างกับมะเขือเทศสุก

“มัมมี๊ของน้องฮักนยอนเขินแด๊ดดี้เหรอครับเนี่ย~~~”

 โอยยย พ่อสักทีเถอะไอ้หมาเจ้าเล่ห์ เขาเขินจะตายอยู่แล้วเว้ย

 

  กว่าจะซื้อของเสร็จเขาก็แทบจะหักคออีกคนตายมันในห้าง แดเนียลยังคงเป็นมนุษย์ขี้แกล้งที่ชอบหยอดชอบแกล้งเขาเหลือเกิน และยังคงแซวเขาตลอดทางกลับบ้านจนเขาหมั่นไส้ เลยทิ้งให้ร่างสูงแบกอุปกรณ์ตกแต่งต้นคริสต์มาสเอย ของสดเอย รวมถึงของขวัญของฮักนยอนที่เขาและแดเนียลแยกกันซื้อจนรวมกันได้เกือบสิบอย่างเข้าบ้านคนเดียว

“ทำไมมัมมี๊ใจร้ายกับแด๊ดดี้แบบนี้ล่ะครับ ทิ้งให้แด๊ดดี้ขนของเข้าบ้านคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง”

  พอจัดการขนของคนเดียวเสร็จคังแดเนียลก็หันมาทำหน้าเหมือนลูกหมาถูกทิ้งใส่เขาก่อนจะถลามาหา ซึ่งนั่นทำให้เขาถอยกรูดโดยอัตโนมัติเพราะรู้ว่าจอมเจ้าเล่ห์อย่างแดเนียลน่ะไว้ใจหน้าตาน่าสงสารนั่นไม่ได้ แต่ก็เท่านั้น…ร่างสูงก็ยังคงว่องไวกว่าจึงสามารถคว้าเขาเข้ามาในอ้อมกอดได้ก่อนที่เขาจะวิ่งหนี

 ฟอดดดดดดดดด~

 ปลายจมูกโด่งเป็นสันกดลงมาบนเนื้อนุ่มนิ่มจนบุ๋มลึกลงไป แดเนียลดึงเขาให้นั่งลงบนโซฟาด้วยกันก่อนจะระดมทั้งหอมทั้งจูบไปจนทั่วทั้งสองแก้ม อย่างกับลูกหมาฟัดลูกบอลยังไงยังงั้น ส่วนเขาทำยังไงน่ะเหรอ…ก็นั่งนิ่งๆ ให้อีกคนหอมอยู่อย่างนั้นไง

“จะหอมให้แก้มฉันช้ำเลยหรือไงเล่า… ปล่อยเลย เดี๋ยวต้องไปรับลูกแล้วไม่ใช่เหรอ”

  เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงดุนิดๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร คังแดเนียลหยุดกระทำการฟัดแก้มเขาก่อนจะผละออกมายิ้มเผล่ให้

 “คุณตัวหอมจัง อยากนั่งดมทั้งวันเลย”

 “หยอดเก่งจริงนะพ่อคุณ” ฝ่ามือเรียวบีบเข้าที่จมูกโด่งของคนรักเบาๆ ก่อนใบหน้าน่ารักที่คังแดเนียลหลงหัวปักหัวปำจะยื่นเข้ามาใกล้ ปลายจมูกเชิดรั้นของจีซองแตะกับอวัยวะเดียวกันของคนอีกคน ราวกับลูกแมวที่กำลังหยอกล้อกับสุนัขตัวใหญ่

 วงแขนที่โอบรอบเอวคอดอยู่กระชับแน่นขึ้นจนร่างกายของเราใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม ทั้งเขาและแดเนียลระบายยิ้มออกมาก่อนริมฝีปากของเขาจะจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย

“เพราะหยอดเก่งแบบนี้หรือเปล่านะที่ทำให้ฉันรักนายมากขนาดนี้”

“คุณเองก็น่ารักแบบนี้หรือเปล่าถึงทำให้ผมรักจนไปไหนไม่ได้แบบนี้”

 เขาชอบที่เรามักจะทำตัวเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันอยู่เสมอถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันมาสี่ปีแล้ว ความสัมพันธ์ของคุณประธานบริษัทกับเลขาฯ ถูกแทนที่ด้วยอีกสถานะที่เรียกว่าสามีภรรยา แดเนียลก็ยังคงเป็นแดเนียล เขาก็ยังคงเป็นเขา แต่เราทั้งคู่ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างเพื่อให้ชีวิตคู่ยืนยาวและเพื่อแก้วตาดวงใจของพวกเขาอย่างคังฮักนยอน

 “วันคริสต์มาสคุณจะให้อะไรผม” แดเนียลเอ่ยถามเมื่อเขาละจมูกออกแล้วเปลี่ยนมาเอาแก้มซบกับลาดไหล่กว้างของอีกคนแทน

  ถึงบางทีเขาจะดูหวงเนื้อหวงตัว แต่ถ้าลองให้ได้อ้อนแล้วล่ะก็จะอ้อนไม่หยุดเลยล่ะ…

 “บอกไปก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ”

 “งั้นใบ้ให้ผมหน่อยสิ”

 “อืม…เป็นของขวัญที่ทั้งนายและลูกจะมีความสุข”

 “ของขวัญของผมแต่ฮักนยอนก็จะชอบด้วยเหรอ? ว้าว ชักอยากรู้แล้วสิ”

 “รอวันพรุ่งนี้แล้วกัน …ไปรับลูกได้แล้ว”

  เขาเอ่ยก่อนจะหอมแก้มสามีตัวโตฟอดใหญ่แล้วผละออกมา อีกคนยกยิ้มกว้างก่อนจะหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมาแล้วเดินมาหอมแก้มเขากลับ

 “ผมจะรอดูของขวัญนะ:)”

  เทศกาลวันคริสต์มาสมาถึงแล้ว

  หลังจากที่เราออกไปเที่ยวสนุกสนานด้านนอกมาเราก็กลับมาบ้าน และตกลงกันว่าจะใช้เวลาช่วงค่ำให้เป็นเวลาของครอบครัว บรรยากาศในบ้านหลังใหญ่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เราทั้งสามคนนั่งทานอาหารที่เขาเป็นคนทำด้วยกัน และเมื่อทานอาหารเสร็จ แดเนียลก็อาสาเป็นคนล้างจานทั้งหมดเพราะเขาทำอาหารมาเหนื่อยพอแล้ว เขาจึงผละจากถ้วยชามนับสิบมายืนอยู่หน้าต้นคริสต์มาสที่เราสามคนช่วยกันตกแต่งมันเมื่อวานเพื่อเช็กความเรียบร้อย

“มัมมี๊~ มัมมี๊ว่าคุณซานต้าจะให้อะไรน้องจูเหรอ”

  เสียงใสกังวานของเด็กชายวัยสี่ขวบนาม ‘คังฮักนยอน’ เอ่ยถามพร้อมกับร่างของเจ้าตัวที่วิ่งมาหาเขา เขาย่อตัวลงไปอุ้มลูกชายสุดที่รักขึ้นมาก่อนจะหอมแก้มของเด็กน้อยไปข้างละที

  นึกแล้วก็อดเอ็นดูสรรพนามที่ลูกชายของเขาใช้เรียกตัวเองไม่ได้ ฮักนยอนมักชอบเรียกแทนตัวเองว่าน้องจูเพราะติดพี่ชายข้างบ้านที่แก่กว่าสิบเอ็ดปีชื่อว่าจูจินอูมา เจ้าตัวเล็กของเขาชอบไปหาจินอูมากจนหลายๆ คนคิดว่าเป็นน้องชายของจินอูไปแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฮักนยอนถึงได้แทนตัวเองว่าน้องจูทั้งๆ ที่ปกติจะเรียกแทนตัวเองว่าน้องฮัก แล้วก็ได้ข้อสรุปมาว่าเพราะจินอูเรียกตัวเองว่าพี่จู และเรียกฮักนยอนว่าน้องจูจากการที่หลายๆ คนคิดว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ นี่เอง ลูกชายของเขาเลยจำตามที่พี่ชายคนสนิทเรียกแล้วนำมาเรียกตัวเอง

 จนตอนนี้ถึงแม้ว่าจินอูจะย้ายบ้านไปเรียนต่อต่างประเทศได้สองปีแล้ว ฮักนยอนก็ยังคงใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่าน้องจูมาตลอด

“แล้วหนูอยากได้อะไรล่ะครับ”

“น้องจูอยากได้น้อง”

 เด็กตัวเล็กบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงหงอยๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮักนยอนบอกเขาแบบนี้ เจ้าตัวเล็กของเขาอยู่คนเดียวมานานมาก เพราะเด็กแถวบ้านก็เป็นเด็กโตกันไปเสียหมด ฮักนยอนบอกกับเขาว่าเพื่อนที่โรงเรียนมีน้องสาวน้องชายแล้วน่ารักมากๆ จนตัวเองอยากมีบ้าง เพราะคิดว่ามันจะทำให้ตัวเองไม่โดดเดี่ยว

“ถ้าอย่างนั้น คุณซานต้าก็จะให้น้องกับน้องจูแน่ๆ ครับคนเก่ง”

 เขายิ้มให้ลูกชายตัวน้อยก่อนจะเช็กว่าฮักนยอนแปรงฟันดีหรือยัง และก็เป็นจังหวะที่แดเนียลล้างจานเสร็จแล้วเดินออกมาหาพวกเรา ร่างสูงรับฮักนยอนไปอุ้มก่อนจะหอมแก้มยุ้ยของเด็กน้อยหลายฟอด

 “ฮักนยอนเป็นเด็กดีหรือเปล่าครับ” ร่างสูงเอ่ยถาม

 “อื้ออออออ น้องจูเป็นเด็กดี~ ซานต้าจะให้ของขวัญน้องจูใช่ไหมฮะ”

 “ให้อยู่แล้วครับถ้าน้องจูของแด๊ดดี้เป็นเด็กดี แล้วน้องจูอยากได้อะไรเหรอครับหืม?”

 “น้องจูอยากได้…”

 “อะแฮ่ม! น้องจู~ มัมมี๊ว่าน้องจูควรขึ้นไปนอนได้แล้วนะลูก เดี๋ยวซานต้าจะไม่มาหาแล้วน้องจูจะไม่ได้ของขวัญนะครับ” เขารีบเอ่ยขัดเมื่อเจ้าตัวเล็กกำลังจะพูดถึงสิ่งที่อยากได้ออกมา

  ไม่ได้หรอก ถ้าฮักนยอนพูด แดเนียลก็รู้สิว่าเขาจะให้อะไร…

 “โอเคฮะ น้องจูจะไปนอน!”

  เมื่อเป้าหมายของฮักนยอนคือการกลับเข้าห้องนอนก็ทำให้แดเนียลที่กำลังอยากรู้ว่าอะไรที่เจ้าลูกชายของเขาอยากได้แต่ยุนจีซองพยายามปกปิดมันต้องจำใจพาลูกชายขึ้นไปนอนอย่างช่วยไม่ได้

  ร่างสูงวางลูกชายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพวกเขาลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม เขาและแดเนียลกู๊ดไนท์คิสฮักนยอนที่แก้มคนละข้าง และเช่นเดียวกันกับเจ้าตัวเล็กที่จุ๊บแก้มเขาและแดเนียลเพื่อเป็นการฝันดี

 “ฝันดีนะครับคนเก่ง คุณซานต้าจะมาหาหนูแน่นอน” เขาเอ่ยพร้อมกับดึงผ้าห่มมาห่มให้เด็กชาย ฮักนยอนยิ้มกว้างก่อนจะหลับตาพริ้มเพื่อเตรียมเข้าสู่นิทรา

  หลังจากส่งลูกเข้านอนพวกเขาก็ลงมาด้านล่าง จัดการนำของขวัญที่แต่ละคนซื้อมาจัดเรียงใต้ต้นคริสต์มาส

 “ลูกอยากได้อะไรเหรอ ทำไมคุณต้องทำเหมือนมันเป็นความลับ”

  แดเนียลเอ่ยถามเขาเมื่อเราทั้งคู่จัดของขวัญเสร็จแล้ว เขายกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะดึงแขนแดเนียลให้ล้มลงมาทาบทับตัวเขา มือเรียวยกขึ้นเกาะลาดไหล่ของอีกคนไว้

 “ก็เพราะสิ่งที่ลูกอยากได้คือของขวัญของนาย…ฉันเลยไม่อยากให้นายรู้ก่อนน่ะสิ”

 “หืม?”

 “ฮักนยอนอยากได้ ‘น้อง’ ”

  จบประโยคของเขา คังแดเนียลก็วาดยิ้มออกมาก่อนจะโน้มหน้าลงมาจนชิดกับปลายจมูกเขา

 “ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะเป็นซานต้าให้ของขวัญชิ้นนี้กับลูกเอง” แดเนียลเอ่ยกับเขาก่อนจะก้มลงมากระซิบชิดใบหู “แล้วผมก็ชอบของขวัญของคุณมากเลยล่ะ ที่รัก”

  ริมฝีปากของเราแนบชิดกัน ปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดอย่างไม่มีใครยอมใคร แดเนียลอุ้มเขาขึ้นโดยสองขาเรียวก็ตวัดเกี่ยวเอวของร่างสูงไว้กันตก ใบหน้าของเขาฝังอยู่บนไหล่ของอีกคนในขณะที่แดเนียลรีบขึ้นมายังห้องนอน เขาได้ยินเสียงแดเนียลลงกลอนประตูก่อนไม่นานนักแผ่นหลังของเขาก็สัมผัสกับผืนเตียงนุ่ม

 ร่างสูงตามมารุกไล่จูบไปทั่วทั้งริมฝีปาก ตลอดไปจนถึงแผ่นอกที่ถูกมือแสนซุกซนนั่นปลดกระดุมเสื้อออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ เขาสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างของอีกคนเมื่อไอเย็นกระทบกับผิวบวกกับอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง แดเนียลยังคงเป็นผู้นำที่ดีไม่ว่าจะในเรื่องไหนมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง…

 แดเนียลเลื่อนใบหน้าขึ้นมาให้อยู่ในระดับเดียวกับเขาโดยสองแขนก็เลื่อนไปคล้องคอของร่างสูงโดยอัตโนมัติ เราสองคนส่งต่อความรู้สึกให้กันผ่านสายตา เขามองใบหน้าหล่อเหลาไม่เปลี่ยนของสามีตัวโตด้วยความรัก รักมากด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลือกที่จะฝากชีวิตไว้กับอีกคน

“ผมรักคุณ”

“ฉันก็รักนาย”

 เราสองคนส่งยิ้มให้กันก่อนจะพูดออกมาพร้อมกัน

“Merry Christmas”

 และเขาเชื่อว่าในวันคริสต์มาสปีหน้า ฮักนยอนจะไม่ต้องร้องขอน้องจากซานต้าอีก…

 

 

 

 

 

THE END

ซานต้าแดนกำลังจะสร้างของขวัญให้น้องจูนะลูก…

ฮืออออ กว่าจะว่างมาปั่นนิยายลงนี่ก็จะขึ้นปีใหม่อยู่แล้ว เลยคริสต์มาสมานานเว่อร์ แงงงงง

ตอนเห็นหัวข้อนี้นี่บอกเลยว่าอยากแต่งมาก แต่ทำไม่ได้เพราะติดสอบ จนจะลืมพล็อตอยู่แล้ว

อยากให้ทุกคนชอบนะคะ และขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆ ค่ะ แมรี่คริสต์มาสย้อนหลังด้วยนะคะ จุ๊บๆ

ถ้าเม้นในนี้ไม่ได้ก็ติดแท็กด้านล่างแล้วหวีดก็ได้ค่ะ ขอบคุณมาก

#คลังPDของเบบี้บูม

Crooked smile [Dansung]

 

 

Crooked smile

[ Daniel x Jisung ]

 

Music : Crooked smile – illslick

 

 

 

ยุนจีซองเป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ชอบพูดคุยเจื้อยแจ้วตามแบบฉบับของเจ้าตัวไปเรื่อย

 

และการกระทำพวกนี้ก็ทำให้เขาหงุดหงิดบ่อยเสียเหลือเกิน

 

ยิ่งเกลียดมากกว่าเดิมจะน่ารักไปไหน

ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจทำไมใครๆ ถึงชอบเธอ

 

 

“จีซองฮยองดูนี่สิ ร้านสปาร้านนี้น่าไปมากเลยว่ามะ อยู่ใกล้ๆ หอเราเลยด้วย”

 

เขามองไปยังคนสองคนที่นั่งคุยกันเรื่องสถานที่พักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เราได้รับหลังจากตารางงานที่แสนแน่นขนัด คิมแจฮวานชี้ให้คนตัวเล็กดูในไอแพด ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเสียจนเขาหงุดหงิด อีกทั้งไอ้เมนโวคอลตัวดียังถือวิสาสะวางแขนพาดไว้บนเอวของคนตัวเล็กหลวมๆ อีกด้วย

 

และเพราะฮยองตัวเล็กไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร คงจะคิดว่าน้องมันหาที่วางมือเฉยๆ ตามฉบับเจ้าตัว แต่แดเนียลรู้ดีว่าคิมแจฮวานมันจงใจแต๊ะอั๋งคนของเขา

 

“น่าสนใจอ้ะ เนียลลลลล ไปกันมั้ย~”

 

หัวกลมสะบัดพรืดหันกลับมาถามเขาที่นั่งอยู่ด้านหลัง เขาระบายยิ้มเมื่อจีซองคว้าไอแพดจากมือเมนโวคอลของวงแล้วลุกมาหาเขา

 

“ยืมแป๊บนึงนะแจฮวาน …นี่ ดูดิ มีนวดสปาด้วยนะ นายบ่นว่าปวดเนื้อปวดตัวไม่ใช่เหรอ ไปนวดกันๆ จะได้ชวนคนอื่นๆ ไปด้วย”

 

ร่างเล็กทรุดนั่งลงบนโซฟาข้างเขาก่อนจะขยับมาชิดจนได้กลิ่นหอมประจำตัวโชยมา ริมฝีปากแดงๆ พร่ำพูดเจื้อยแจ้วบรรยายสรรพคุณของร้านสปาทั้งๆ ที่ยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง นิ้วเล็กๆ นั่นจิ้มตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่สาบานเลยว่าเขาไม่ได้มองสิ่งที่อยู่ในจอสี่เหลี่ยมสักนิด

 

ริมฝีปากสีระเรื่อนั่นดึงความสนใจของเขาไปจนหมด…

 

น่ารัก น่ารักชิบหายเลย ไหนจะเรื่องที่เขาเคยบ่นว่าปวดเมื่อยไปแค่สองครั้งเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว แต่ยุนจีซองกลับจำได้

 

ทำไมต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้ด้วยวะ…

 

 

อย่าทำตัวน่ารักให้ใครๆ เขามอง

รู้ตัวบ้างไหมว่าเธอน่ะมีเจ้าของ

 

 

มากไป ครั้งนี้เขาว่ามันมากไป

 

เขาจ้องเขม็งไปยังฮยองตัวเล็กที่ถูกน้องๆ ในวงรุมจั๊กจี้จนดิ้นไปดิ้นมาบนพื้น มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กวัยรุ่นขี้แกล้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาหัวร้อนจนแทบไหม้คือ องซองอู…ที่กำลังรัดยุนจีซองจากด้านหลังให้สองแฝดทูพัคจัดการแกล้งจั๊กจี้

 

และมันไม่ทำแค่รัด องซองอูมันยังเนียนฉวยโอกาสที่ฮยองตัวเล็กดิ้นไปดิ้นมาหอมแก้มนุ่มๆ ไปหลายฟอด ไหนจะเสื้อยืดที่เลิกขึ้นมาสูง อีกทั้งกางเกงขาสั้นที่ชอบใส่เหลือเกินที่เลิกขึ้นๆ ลงๆ ตามจังหวะการดิ้นอีก

 

“ฮ่าๆๆ พอแล้วววว คิก~ อ่ะ ซองอูย่า ฮ่าๆ”

 

ยุนจีซองร้องประท้วงเล็กน้อยเมื่อถูกขโมยหอมแก้มอีกครั้ง แต่เขาเชื่อว่าอีกคนไม่ได้โกรธหรอก แก้มขาวๆ นั่นน่ะถูกหลายคนในวงเนียนหอมมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเพราะคิดอกุศลอย่างแจฮวานซองอู หรือจะเพราะเอ็นดูและหมั่นเขี้ยวจนทนไม่ไหวเหมือนซองอุนฮยองมินฮยอนฮยอง

 

สองคนหลังยังพอเข้าใจได้ แต่ไอ้สองคนหน้านี่สิ…

 

กร๊อบ!

 

กระป๋องโค้กที่เพิ่งดื่มหมดในมือถูกบีบจนบุบเข้าหากัน  และเหมือนมันจะเสียงดังจนคนที่เล่นกันอยู่หันมามองเป็นตาเดียว

 

“อุ่ย ป๋องบุบเลย” พัคอูจินเอ่ยก่อนจะโผเข้ากอดกับคู่หูพัคจีฮุนกลมดิ๊ก

 

“เราไปกันกว่าเนอะอูจิน ตรงนี้ไม่ปลอดภัย”

 

แล้วสองแสบก็พากันวิ่งออกไปจากจุดที่รังสีอำมหิตของเขากระจายไปถึง เหลือเพียงไอ้ตัวเอนเตอร์แทนของวงที่ยังกอดพี่ใหญ่ของวงไว้ไม่ปล่อย

 

อ่า…บางทีอาจจะมีกายกรรมกระป๋องโค้กปลิวกระแทกหัวใครบ้างคนแถวนี้ก็เป็นได้

 

“ว้า ผมไปมั่งก็ได้ อยู่นานๆ เดี๋ยวอายุสั้นเอา ไปล่ะนะครับ ฟอดดดดด~”

 

จมูกโด่งกดลงบนมาบนแก้มของพี่ใหญ่ตัวเล็กอีกครั้งนึงก่อนตัวต้นเหตุจะเดินออกไปจากพื้นที่ตรงนี้อย่างอารมณ์ดี …ทิ้งไว้เพียงยุนจีซองที่ทำหน้าบูด

 

“ทำไมต้องไล่เด็กๆ ไปด้วยล่ะ น้องจะเล่นกับฉันบ้างไม่ได้หรือไง”

 

“หอมแก้มขนาดนั้นนี่เรียกเล่น?  ทำเหมือนว่าแฟนไม่ได้อยู่ตรงนี้เลยนะครับ”

 

“ก็…น้องมันแค่เล่น นายจะหึงเกินไปแล้วนะเนียลอ่า”

 

“งั้นลองให้ผมไปเล่นหอมแก้มคนอื่นบ้างดีมั้ยล่ะครับ  พี่จะยังนิ่งได้อยู่มั้ย”

 

เขาเอ่ยจบก็โยนกระป๋องโค้กลงถังขยะแล้วหันหลังกลับเข้าห้องไปทันที

 

น่าหงุดหงิดชะมัด…

 

 

Every time you see me smokin’ on that weed

Just remember you’re still my bitch

You already know, boy you all I need

Baby let me show you how I live

 

 

“แดเนียล…สูบบุหรี่เหรอ”

 

เสียงหวานเอ่ยทักเมื่อเปิดประตูระเบียงเข้ามาแล้วเจอเขากำลังพ่นควันสีเทาหม่นไปในอากาศ คนตัวเล็กอุดจมูกก่อนจะไอแค่ก จนเขาต้องเก็บมวนบุหรี่ในมือไปไว้ด้านหลัง

 

อันที่จริงเขาเลิกบุหรี่ไปนานแล้ว แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่รู้จะระบายออกยังไง น่าแปลกที่เขาจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ และไอ้แท่งควันพิษนี่ก็ช่วยทำให้เขาสงบจิตสงบใจลงไปได้บ้าง…นิดหนึ่ง เขาถึงต้องรอให้น้องในวงรวมถึงคนอื่นๆ หลับไปให้หมดแล้วจึงออกมาสูบด้านนอกนี่ล่ะ

 

ไม่คิดว่าตัวเองจะกลับมาสูบบุหรี่อีกครั้ง พอๆ กับที่ไม่คิดว่าคนอย่างยุนจีซองจะยังไม่ยอมหลับ

 

“ไหนบอกว่าไม่สูบแล้วไงล่ะ แค่ก”

 

“กลับเข้าไปข้างในไปครับ  เดี๋ยวผมตามไป”

 

“ไม่เอา เนียลสัญญาแล้วว่าจะไม่สูบ ทำไมกลับมาสูบได้ล่ะ แค่กๆ”

 

ฮยองตัวเล็กยังคงไอโขลกแต่ก็ยังเดินเข้าใกล้ไม่ยอมถอย จนเขายอมแพ้กดปลายร้อนของมวนบุหรี่ลงกับระเบียงจนมอดและโยนมันออกไปข้างนอก

 

สวบ~

 

และฮยองตัวเล็กที่เพิ่งหายไอเมื่อกี้ก็ทำให้เขาตกใจเมื่ออีกคนถลาเข้ามากอดเขาแน่นพร้อมกับซุกใบหน้าลงมาที่อก

 

“พี่ขอโทษ…พี่ทำให้นายหงุดหงิดใช่มั้ยล่ะ พี่ขอโทษจริงๆ นะ นายจะโกรธพี่ก็ได้ จะตีพี่ก็ได้ แต่เนียลอย่าสูบบุหรี่อีกเลยนะ มันไม่ดี”

 

ก็เป็นซะแบบนี้…เป็นห่วงคนอื่นตลอดแบบนี้

 

อารมณ์ขุ่นมัวของเขาหายไปหมดตั้งแต่อีกคนเข้ามากอดแล้ว

 

พอก้มลงมองก็เห็นหัวกลมๆ ที่ซุกหน้าอกเขาอยู่พร้อมกับส่ายไปมาเหมือนแมวกำลังอ้อนเจ้าของชวนให้คิดถึงแต่เรื่องไม่ดี…เขายังไม่อยากทำอีกคนช้ำหรอกนะ

 

“พี่รู้มั้ยว่าผมหวงพี่มากแค่ไหน” เขาเอ่ยก่อนจะวาดวงแขนกอดอีกคนตอบ “ผมรู้ว่ามันเป็นความคิดที่เด็กและโคตรเอาแต่ใจ แต่ผมอยากเก็บพี่เอาไว้คนเดียวจริงๆ ผมไม่ชอบให้พี่ไปทำตัวน่ารักใส่ใคร เพราะทุกคนจะพากันเอ็นดูพี่ และมันจะตามมาด้วยการแตะเนื้อต้องตัวที่ผมไม่ชอบ…”

 

พอเขาพูดจบฮยองตัวเล็กก็ผละออกมาส่งยิ้มให้ ช่างเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายุนจีซองเอ็นดูเขาขนาดไหน รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขันและการส่ายหัวน้อยๆ ของคนตัวเล็ก

 

“เป็นเด็กอายุยี่สิบสองที่เด็กจริงๆ เลย”

 

ไม่ว่าเปล่า ร่างเล็กกลับเขย่งเท้าขึ้นมาจูบลงที่สันกรามของเขาและผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง

 

อะไรกันยุนจีซอง…ทำให้เขาโมโหจนต้องออกมาอัดนิโคตินยามดึกไม่พอ ตอนนี้ยังมาทำตัวยั่วให้ตัวเองลุกไม่ไหวพรุ่งนี้อีกเหรอ

 

“เหรอ ผมเด็กเหรอ”

 

เขารั้งสะโพกของคนแก่กว่าเข้ามาชิดก่อนจะกระซิบลงที่ข้างใบหู จูบลงที่พวงแก้มนิ่มหนักๆ จนฮยองตัวเล็กหดคอหนี

 

“เนียล อือ…ไม่ได้นะ นี่หอนะ” คนตัวเล็กร้องท้วงเมื่อถูกเขาดันให้ติดกับประตูกระจกและจูบรุกไล่ลามลงมายันต้นคอ

 

“ตอนนี้ตีสองแล้ว ฮยองดูสิว่าเขาปิดไฟนอนกันหมด ส่วนเมมเบอร์ก็หลับเป็นตายกันทุกคนอยู่แล้ว” เขาตอบโดยที่ริมฝีปากก็ยังคงวุ่นวายกับริมฝีปาก พวงแก้ม และซอกคอของอีกคนอยู่ มือไม้ที่อยู่ไม่สุขเริ่มริดรอนกระดุมเสื้อนอนของฮยองตัวเล็กทีละเม็ด

 

มาทำกับเขาถึงขนาดนี้แล้วจะให้เขาหยุดก็รอให้หมูบินได้ก่อนเถอะ

 

เขาผละจากร่างเล็กที่ทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้นก่อนจะรูดปิดผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มที่ในตอนกลางคืนตอนนี้คงเห็นเป็นสีดำ ล็อคประตูกระจกไว้อีกชั้น ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าปกติเมมเบอร์จะไม่ตื่นตอนกลางดึกกันหรอก ยิ่งพรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อนวันสุดท้ายแล้ววันนี้ยิ่งคงหลับเป็นตายกัน แต่ก็ต้องปิดเอาไว้เพื่อกันไว้ก่อนนั่นแหละ

 

“แดเนียล…เอาตรงนี้จริงๆ เหรอ ฮื่อ” ฮยองตัวเล็กเอ่ยถามเขาที่ตอนนี้จับร่างอ้อนมือลงไปนอนราบอยู่บนพื้นระเบียงเป็นที่เรียบร้อย

 

“ครับ ‘เอา’ ตรงนี้แหละครับ ชู่ว~ ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่มีใครรู้แน่นอน เชื่อผมเถอะ”

 

เพราะจากที่เขาสังเกตดูตั้งแต่ต้น คอนโดฯ หอพักต่างๆ ในละแวกใกล้เคียงก็แทบไม่มีแสงไฟตามห้องเปิดอยู่เลย แหงสิ ตีสองกว่าๆ แบบนี้ใครเขาจะตื่นกัน แสงที่เข้ามาก็จะเป็นแสงจากดวงจันทร์และไฟถนนที่อยู่ไกลลิบมากกว่า

 

“มานี่มาคนเก่งของผม”

 

 

 

“ผมจะทำให้พี่รู้เองว่าที่ระเบียงก็ไม่แพ้ที่ไหนๆ เลยล่ะ…”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

THE END

อี-นัง-คน-กาม

อันที่จริงระเบียงก็ไม่ได้แย่…เนาะ ./วิ่งหลบหม้อไหกะละมังตั่งต่าง

หลังจากพยายามลงในเด็กดีมาสองวันแล้วค้นพบว่ามันไม่สามารถทำได้…ถอดใจแล้วค่ะ

ประจวบกับนึกได้ว่าสมัครเวิร์ดเพรสไว้พอดี เอามาลองลงในนี้ดีกว่า

ถ้าชอบก็เม้นในนี้ให้เค้าสักนิด หรือไม่ก็ไปหวีดตอนนี้ได้ใน #คลังPDของเบบี้บูม นะคะ
หรือใครจะไปเม้นในเด็กดีก็ได้ โดยการติดแท็ก #คซมแดนซอง แล้วก็เม้นหน้าบทความเลยละกันค่ะ

ยังไงก็ได้แล้วแต่สะดวก เราอยากอ่านเม้นท์จริงๆ นะ แต่ลงในเด็กดีไม่ได้อ่ะ หงุดหงิดมาก ฮื่ออออT^T

ลิงค์บทความในเด็กดีที่ปกติเราจะลงนิยายค่ะ https://writer.dek-d.com/exo_azzer/writer/view.php?id=1636235

 

Create a free website or blog at WordPress.com.

Up ↑