Haunted House
BOBBY X HANBIN
รั้วเหล็กสีดำสูงตระหง่านตรงหน้าดูทะมึนทึมชนิดที่ว่าแค่เดินผ่านก็คงไม่มีใครอยากทำ ยิ่งบวกกับโลกด้านหลังรั้วที่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่เก่าแก่ ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตก และกาลเวลาก็ทำให้สีของมันทะมึนทึมไม่แพ้กับรั้ว
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว พวกไม้เลื้อยที่ขึ้นพันรอบตัวบ้านนั้นบ่งบอกได้ดีว่าที่แห่งนี้ไร้ซึ่งคนมาดูแล ต้นไม้ต้นสูงที่ไม่มีใบสักต้นดูเหี่ยวเฉารอวันตายในอีกไม่นาน และสายลมที่พัดมาเบาๆ ก็หอบเอาความหนาวยะเยือกประหลาดมาด้วย
เพราะฉะนั้น สถานที่ที่ใครๆ ต่างพากันเรียกว่า ‘คฤหาสน์ผีสิง’ นี่เป็นสถานที่ที่ไม่ควรเฉียดกายเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เขา ‘คิมฮันบิน’ กำลังยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่โคตรจะน่ากลัวแห่งนี้ในเวลามืดใกล้ค่ำเสียอย่างนั้น…
แม่ง รู้อย่างนี้ไม่พนันกับพวกมันตั้งแต่ทีแรกดีกว่า
ร่างเล็กนึกหัวเสียในใจ จุดเริ่มต้นของการมายืนคนเดียวหน้าบ้านผีสิงนี่คือบทสนทนาหาเรื่องให้ตัวเองของเขาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
เป็นที่รู้กันว่าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้ถูกเจ้าของเดิมทิ้งร้างเป็นสิบๆ ปีและไม่มีใครมาดูแลเลยนับตั้งแต่นั้น กาลเวลาทำให้สภาพของมันเก่าลง พวกต้นไม้ต่างแห้งเหี่ยวเนื่องจากไม่มีคนรดน้ำพรวนดิน ยายของเขาเคยเล่าว่าแต่ก่อนคฤหาสน์หลังนี้สวยงามยิ่งกว่าหลังไหนในละแวกนี้ เป็นบ้านของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ซื้อเอาไว้และไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แม้แต่วันที่เขาย้ายออกไปก็แทบไม่มีใครรู้ บ้านหลังนั้นถูกทิ้งร้างไม่มีวี่แววของเจ้าของใหม่ และความเก่าแก่ของมันก็เป็นที่น่าขนหัวลุก ตอนกลางคืนนั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่านคฤหาสน์หลังนี้เสียด้วยซ้ำ
และเรื่องพวกนี้คือประเด็นที่กลุ่มเพื่อนของเขานั่งคุยกันถึงเรื่อง ‘ผี’ ในบ้านหลังนี้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า เพราะบางคนก็เลยเล่าว่าเห็นเงาคนวูบไหวไปมาในบ้าน และบางครั้งก็มีคนเห็นแสงสว่างมาจากด้านใน เพื่อนของเขาที่นั่งล้อมวงกันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นผีแน่ๆ เพราะคงไม่มีคนที่ไหนใครเข้าไปอยู่แล้วทำตัวน่ากลัวแบบนั้น
ประเด็นอยู่ที่เขาดันแย้งพวกมันขึ้นมา
เขาเคยเดินผ่านคฤหาสน์หลังนี้ในตอนกลางวันและรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นักก็เลยลองมองผ่านรั้วเหล็กสีดำดู สิ่งที่เขาเห็นคือคฤหาสน์เก่าและต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง แต่ทว่า…หญ้าที่คฤหาสน์แห่งนี้กลับไม่รกเลยราวกับถูกตัดทุกวัน อีกทั้งเถาวัลย์ไม้เลื้อยต่างๆ ที่พันรอบตัวบ้านก็ไม่ได้เยอะแบบที่ควรจะเป็น
ผีที่ไหนจะมาตัดหญ้ากัน…
นั่นทำให้เขาแย้งพวกมันไปว่าที่นั่นไม่มีผีหรอก คงจะเป็นคนที่เข้ามาอยู่แบบเงียบๆ มากกว่า และก็ถูกเพื่อนโต้กลับมาว่าถ้าเป็นคนจะไม่ออกมาให้เห็นตัวเลยหรือไง
จากนั้นเขาก็ถูกท้าให้มาพิสูจน์ว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่จริงๆ หรือไม่กันแน่ และถ้าหากเขาพิสูจน์ได้ว่าคือคนจริงๆ รางวัลคือพวกมันจะทำเวรห้องแทนเขาหนึ่งเดือนเต็มๆ
และเพราะแต่เดิมเขาเป็นคนไม่กลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้วก็เลยรับข้อเสนอของพวกมัน ใครจะไปรู้ว่าบรรยากาศของที่นี่ตอนกลางวันกับตอนกลางคืนมันต่างกันลิบลับ
ตอนกลางวันเขารู้สึกว่ามันไม่น่ากลัวเลย แต่ทว่าพอลองมายืนอยู่ที่นี่ในตอนกลางคืน…เขาก็รู้ว่าที่นี่น่าขนลุกไม่เบาเลย
แต่ไม่ว่ายังไง เขาจะเข้าไปพิสูจน์ให้ได้ว่ามีคนอยู่จริงหรือเปล่า!
สายลมพัดเอื่อยๆ มาแตะต้องผิวกายชวนให้รู้สึกขนลุกแปลกๆ เขามองหาทางที่จะเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้ ความคิดแรกคือจะปีนรั้วแต่มันก็สูงโคตรๆ เขาน่าจะคอหักตายก่อนเข้าไปถึงข้างใน
และระหว่างที่เขากำลังมองซ้ายมองขวาอยู่นั้นเอง ประตูรั้วเหล็กด้านหน้าก็แง้มออกเนื่องจากถูกลมพัด เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ใส่กุญแจไว้
บ้านที่ถูกทิ้งร้างแล้วยังไม่ได้ขายต่อให้ใครทำไมถึงไม่ล็อครั้วไว้ นี่ไม่กลัวขโมยเลยหรือไง
เขาสูดหายใจเข้าเบาๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจก้าวข้ามรั้วสีดำน่ากลัวนี่ไปเพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดมันจริงหรือไม่
ความอยากรู้ของคนเราบางครั้งก็พาเรื่องเดือดร้อนมาได้
แต่มาถึงขนาดนี้จะให้เขากลับไปมันก็ไม่ใช่คิมฮันบินแล้ว
เปลือกตาสีมุกเปิดขึ้น ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงวาบเมื่อรับรู้ได้ว่ามีใครกำลังผ่านเข้ามาในอาณาเขตของตน กายสูงใหญ่ของ ‘คิมจีวอน’ ลุกขึ้นจากเตียงนอนแสนกว้าง หยิบเสื้อคลุมสีดำที่พาดอยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวมใส่ทับร่างกายเปลือยเปล่าก่อนจะก้าวเท้าไปยังหน้าต่าง
และภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาก็สะท้อนอยู่ในดวงตาคม
ความสงสัยผุดขึ้นมาในหัวของร่างสูง ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ไหนกล้าก้าวล้ำเข้ามาในเขตคฤหาสน์ แต่อยู่ๆ วันนี้ก็มีใครก็ไม่รู้กำลังบุกเข้ามา
ท่าทางไม่เหมือนโจร และจากที่เขาสัมผัสได้อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย
แล้วเข้ามาทำไม?
ดวงตาคมมองการกระทำของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตนถูกจับจ้องด้วยสายตาของเจ้าของบ้าน อีกฝ่ายหยุดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ สีหน้าไม่ดีเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีแม่กุญแจอันใหญ่ล็อคไว้อยู่ เขาหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อเห็นอีกคนชะเง้อมองหาทางเข้าด้วยท่าทางที่แสนตลก
ที่นี่รัดกุมและปลอดภัยเกินกว่าจะมีใครเข้ามาได้ง่ายๆ…และเขาเองก็แปลกใจว่าอีกฝ่ายข้ามรั้วเข้ามาได้ยังไง
และด้วยสายตาที่ดีกว่ามนุษย์มากนักเขาจึงเห็นชัดเจนว่าเด็กผู้ชายคนนั้นกำลังย่นจมูกเข้าหากันอย่างจนใจเพราะไม่มีทางเข้าเลย หน้าต่างและประตูถูกปิดสนิท และนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา
เออ พอทำหน้าหงุดหงิดแบบนั้นแล้วน่าแกล้งดี
โทษฐานที่กล้าบุกเข้ามาในเขตของเขา คงต้องจัดการให้วิ่งกลับบ้านแทบไม่ทันแล้ว
จู่ๆ ประตูบานใหญ่ตรงหน้าก็เปิดออกจนเขาที่ยืนมองซ้ายมองขวาหาทางเข้าเบิกตาโตอย่างตกใจ แม่กุญแจอันใหญ่หายไปราวกับประตูบานนี้ไม่เคยล็อคมาก่อน
เมื่อกี้มันยังล็อคแน่นหนาชนิดที่ว่าเอาอะไรมางัดก็คงไม่ออกอยู่เลย แล้วทำไม…
บางทีเขาอาจจะตาฝาด บ้านที่มีคนอยู่มันต้องไม่ล็อคจากข้องนอกก็ถูกแล้วนี่
เขาเปิดไฟฉายในมือก่อนจะฉายมันเข้าไปด้านในพร้อมกับการตัดสินใจก้าวขาไปผจญกับอะไรที่ไม่อาจะคาดเดาได้ ด้านในมืดสนิทและวังเวงจนน่ากลัว ถ้าเป็นคนอื่นคงวิ่งตั้งแต่อยู่หน้ารั้ว แต่เพราะเป็นเขาที่ค่อนข้างใจแข็งกับเรื่องพวกนี้จึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่
แต่ถ้าถามว่ากลัวไหม…ตอบเลยว่าก็นิดหน่อย
ที่นี่ไม่เหมือนบ้านร้าง เพราะกลิ่นหอมจางๆ ของบางอย่างคือสิ่งแรกที่เข้ามาสัมผัสจมูกของเขาในขณะที่สายตามองไม่เห็น มันไม่ใช่กลิ่นอับในแบบที่บ้านร้างที่ถูกทิ้งหลายสิบปีควรจะเป็น แต่มันเป็นกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกเย็นและสุขุมนุ่มลึกในเวลาเดียวกัน
เกร๊ง~
เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างตกกระแทกกับพื้น ไฟฉายในมือฉายหาต้นตอของเสียงแต่ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างกลับมาเงียบสนิทท่ามกลางความมืด หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้นเหตุของเสียงนั้นจะเป็นอะไร
โชคดีที่ไฟฉายของเขาส่องไปกระทบกับแผงสวิตช์ไฟพอดี สภาพมันดูใหม่เอี่ยมจนเขาสงสัยว่ามันยังใช้ได้อยู่ไหม และไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ดีกว่าการลองเปิดดู
พรึ่บ!
ไฟเกือบทั้งหลังสว่างขึ้นมาทันทีจนเขาต้องหรี่ตาเพื่อให้ตาปรับโฟกัสสักพัก และเมื่อลืมตาขึ้นมามอง ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับอึ้ง
สภาพด้านในนั้นสวยมาก เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบและแต่ละชิ้นท่าจะมีราคาไม่น้อย ไร้ซึ่งผ้าคลุมกันฝุ่นและเมื่อใช้นิ้วปาดดูก็พบว่ามันสะอาด ราวกับเครื่องเรือนพวกนี้ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีชิ้นไหนบุบสลาย และในตัวคฤหาสน์หลังกว้างนี้ก็ไม่มีส่วนใดผุพังเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่…นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ที่ถูกทิ้งร้างเป็นสิบๆ ปีแน่
แต่แล้วทำไมด้านหน้าบ้านถึงได้น่ากลัวขนาดนั้นทั้งๆ ที่ข้างในสวยขนาดนี้ล่ะ?
ปัง!
รอบนี้เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดดังลั่น หันไปดูก็พบว่าเป็นประตูทางเข้านั้นเอง มันอาจจะโดนลมพัดจนปิดเสียงดังขนาดนี้
เขาหันกลับมาสนใจกับรอบๆ ตัวต่อ รูปถ่ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังด้านหนึ่งของคฤหาสน์ดึงดูดสายตาเขาได้เป็นอย่างดี มันเป็นรูปถ่ายที่ค่อนข้างเก่า…เขาหมายถึงมันดูเป็นการถ่ายภาพที่น่าจะถ่ายนานแล้ว ในรูปมีผู้ชายสองคนที่หน้าตาคล้ายๆ กัน แต่มีคนหนึ่งแก่กว่าและอีกคนดูเหมือนจะอายุแค่สิบสามสิบสี่เท่านั้น ตรงกลางคือผู้หญิงหน้าตาสวยแบบชนชั้นสูงคนหนึ่ง เขาเดาว่าน่าจะเป็นรูปถ่ายครอบครัว
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อที่จะถ่ายรูปไปยืนยันกับเพื่อนว่าที่นี่มีคนอยู่ แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์ในมือก็ปลิวออกจากมือเขาตกลงไปกระแทกพื้นทันที
“เฮ้ย!” เขาร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งไปเก็บโทรศัพท์คู่ใจทันที เมื่อลองกดปุ่มเปิดเครื่องดูก็พบว่ามันได้ดับไปแล้ว แม้ว่าจะพยายามกดเปิดเครื่องเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล
ชิบหายแล้วมั้ยล่ะ เมื่อกี้เขาว่าเขาแค่หยิบมันออกมาเฉยๆ เองนะ ทำไมมันถึงหลุดมือแบบนั้นได้ แล้วเขาจะบอกแม่ยังไงล่ะทีนี้!
จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง ร่างโปร่งหันขวับทันทีแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
ตึง!
เสียงดังบางอย่างดังมาจากด้านบนอีกแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงก็เจอแต่ความมืดเนื่องจากไฟที่เปิดนั้นเปิดเพียงแค่ชั้นล่างของคฤหาสน์ ส่วนข้างบนนั้นมืดสนิท แต่ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด เพียงชั่วครู่ที่เงยหน้าขึ้นไปคล้ายกับว่ามีคนอยู่ข้างบน ไฟฉายในมือถูกเปิดขึ้นอีกครั้งก่อนขาเรียวจะเดินตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปดูว่าเสียงนั่นเกิดจากอะไรกันแน่
แสงไฟสีขาวกวาดไปยังทุกพื้นที่ของชั้นบน เขาพยายามหาสวิตช์ไฟแต่มันกลับไม่มี แต่จากที่เห็นผ่านแสงของไฟฉายเขาคิดว่าข้างบนนี้คงไม่ต่างจากข้างล่าง ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีกลิ่นหอมจางๆ กระจายอยู่ในอากาศ
และแสงไฟฉายในมือเขาก็ไปกระทบเข้ากับประตูห้องๆ หนึ่งที่แง้มไว้
อาจจะมีคนอยู่ในห้องนี้…
เขาค่อยๆ ก้าวเข้าใกล้ประตูบานนั้นด้วยความลุ้นระทึก อะดรีนาลีนในร่างกายหลั่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อไม่อาจจินตนาการได้ว่าห้องๆ นี้จะมีคนอยู่อย่างที่เขาคิดจริงไหม และคนที่อยู่ด้านในจะทำอันตรายเขาหรือเปล่า เพราะหากมีคนอยู่จริง…เขาก็มีความผิดข้อหาบุกรุกไปแล้วหนึ่งกระทง เข้าบ้านคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ใครๆ ก็คงคิดว่าเป็นโจร
ประตูบานใหญ่ถูกผลักเข้าไปอย่างช้าๆ และภาพที่เห็นคือมันเป็นห้องที่ว่างเปล่า ประกอบด้วยเตียงขนาดใหญ่และข้าวของเครื่องใช้อีกเล็กน้อย มีโต๊ะ ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งทีวีติดผนัง สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่ามีคนอยู่ก็คือเตียงนอนและผ้าห่มที่ยับยู่ยี่นั่น
เดี๋ยวนะ…คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีใครอยู่มานานหลายสิบปี แต่ทำไมกลับมีสารพัดเฟอร์นิเจอร์ครบครันแบบนี้ได้
และในขณะที่เขากำลังขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับตัวเอง กลิ่นหอมเย็นๆ ที่ได้กลิ่นไปทั่วทุกที่ของบ้านก็ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับ…เจ้าของกลิ่นอยู่ใกล้เขาเพียงไม่กี่ก้าว
ร่างเล็กหันขวับในทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงไฟทั้งห้องสว่างวาบขึ้นมา เมื่อภาพทุกอย่างชัดเจนขึ้นก็ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเรืองวาบเด่นชัดในสองตาของเขา พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาใกล้
เขามืออ่อนจนเกือบทำไฟฉายตก ไม่ใช่แน่… ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนแน่ๆ
“ค…คุณ”
“มนุษย์นี่ชอบบุกเข้าบ้านคนอื่นเหมือนกันเหรอ” อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเรียบ
จากสรรพนามที่ใช้เรียกเขาเมื่อกี้ทำให้ยิ่งเชื่อเข้าไปอีกว่าหมอนี่ไม่ใช่คนแน่ๆ เขาเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งที่ปลายเตียงอย่างพอดิบพอดี ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้เจอผีตัวเป็นๆ
“เอ้า ช็อกตายไปแล้วเหรอน่ะ ทีเดินเข้ามาเดี่ยวๆ ตอนกลางคืนยังไม่กลัว เจอเจ้าของบ้านหน่อยเข่าอ่อนเลยหรือไง”
“คุณ…เป็นผีจริงๆ เหรอ…”
“หือ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว
“คุณเป็นผีเหรอ…ไม่…ไม่ดิ ผีอะไรทันสมัยขนาดนี้…หลอกผมเหรอ” ราวกับพูดกับตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นมาถามอีกฝ่ายในประโยคสุดท้าย
“ถ้าจัดสิ่งมีชีวิตประเภทฉันไว้ในหมวดผีก็แล้วแต่” อีกฝ่ายเอ่ยตอบ “นายเข้ามาที่นี่ทำไม”
“คุณจะ…ทำอะไรผมไหม” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าระแวง แต่อยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะออกมา
“อือ ทำ ฉันจะฉีกนายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนออกไปไว้นอกรั้วให้คนอื่นเห็นว่าไม่ควรแอบเข้ามาในบ้านฉัน” อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมกับยักคิ้วเล็กน้อย “เฮ้ หน้าซีดหมดแล้ว”
น้ำเสียงอีกฝ่ายดูตลกเสียเหลือเกินที่ทำให้เขากลัวได้ขนาดนี้ ร่างไล่สำรวจผู้ชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าคมคายได้รูป ดวงตาสีน้ำเงินประหลาด และรูปร่างสูงโปร่งชนิดที่ว่าเขาต้องเงยหน้ามองจนคอแทบตั้งฉาก
ถ้าเกิดว่าเป็นคนหมอนี่คงเป็นนายแบบได้สบายเลย ทุกอย่างของอีกฝ่ายมีเสน่ห์ดึงดูดจนเขาเองยังแปลกใจ
โดยเฉพาะกลิ่นหอมดอกไม้เย็นๆ นี่…
“วางใจเถอะ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก โชคดีของนายแล้วที่ฉันทำไม่ได้ แล้วอีกอย่างก็คงไม่จำเป็นต้องทำ…”
“ไหนๆ นายก็หลงเข้ามาอยู่ในบ้านฉันแล้ว และฉันก็ทำอะไรนายไม่ได้ นายว่าเราไปหาที่คุยกันหน่อยดีไหม”
“ครับ?…เอ่อ ก็ได้…”
“หรือนายพอใจอยากจะนั่งคุยกับฉันบน ‘เตียง’ ตรงนี้ก็ตามใจ”
สิ้นประโยคเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาทันทีเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย ใบหน้าน่ารักขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากท่าทางตลกตัวเขาเต็มทีของหมอนี่
“ลงไปข้างล่างกันเถอะ”
เราสองคน(หรือเขาไม่ควรเรียกอีกฝ่ายว่าคน)เดินออกมาจากห้องนอนเพื่อลงไปยังด้านล่างตามที่อีกฝ่ายเสนอ ชั้นบนไม่ได้ปิดไฟมืดเหมือนตอนขึ้นมาแล้ว และมันก็ดูเรียบร้อยเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้
เมื่อลงมาถึงห้องรับแขกร่างของเจ้าของบ้านก็ทิ้งตัวลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดงเข้มพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง เขามองหาที่ที่จะนั่งก่อนจะเลือกโซฟาที่อยู่ด้านขวามือ
“ฉันคิมจีวอน นายล่ะ”
“ผมคิมฮันบิน” เขาเอ่ยตอบ
“ไงฮันบิน มีอะไรจะถามฉันมั้ยล่ะ”
“คุณ…เป็นตัวอะไร” เขาเริ่มคำถามที่สงสัยมานานทันที อีกฝ่ายยกยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“ชนชั้นสูง”
ฮะ!?
“เผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงก็คือพวกแวมไพร์ แต่ต่างกันตรงที่ฉันไม่กลัวแดด อีกอย่าง ฉันมีอำนาจมากกว่าผีพวกนั้นเยอะ”
“ผมไม่เข้าใจ…”
“ชนชั้นสูงคือคำเรียกอมนุษย์ที่มีพละกำลังและพลังเหนือกว่าอมนุษย์ตนไหนๆ แล้วก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของคนอื่น หรือเรียกอีกอย่างนึงก็คือพวกเรากินวิญญาณ ที่สำคัญคือพวกฉันไม่ล่าเหยื่อสะเปะสะปะ เหยื่อทุกคนที่พวกฉันจะกินต้องยินยอมให้กิน”
“แล้วทำไมเหยื่อพวกนั้นถึงยอมให้พวกคุณกินวิญญาณล่ะ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะตายเลยนะ”
“มันก็เหมือนกับเวลานายอยากได้บางอย่างจากแม่ นายก็จะพยายามขอแม่นายให้ได้ พวกฉันก็เหมือนกัน เราใช้วิธีการพูดคุยหลอกล่อให้อีกฝ่ายตกลง แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปเราก็เริ่มปรับตัวโดยการกินอาหารแบบมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าทำได้ เหล่าชนชั้นสูงจึงสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้โดยที่ไม่ผิดสังเกต”
ในเมื่อร่างสูงบอกว่าชนชั้นสูงสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ แล้วทำไมหมอนี่ถึงได้มาอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ร้างไกลผู้คนแบบนี้ล่ะ
“แล้ว…ทำไมคุณอยู่คนเดียวในบ้านร้างนี้ล่ะ”
“ความแตกต่างระหว่างอาหารที่นายคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กกับอาหารที่นายจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อที่จะกินมันคืออะไรล่ะ?” อีกฝ่ายยกยิ้ม “อาหารที่นายคุ้นเคยต้องให้ความรู้สึกที่ดีกว่าอยู่แล้ว และฉันก็โคตรจะชอบเลย ฉันล่าเหยื่อด้วยความคึกคะนอง แถมยังฆ่าพวกล่าปีศาจตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งพลังของฉันแข็งแกร่งฉันก็ยิ่งทะนง ละเมิดกฎทุกข้อที่ตระกูลของฉันตั้งไว้ สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกมนุษย์ ฉันล่าเหยื่อวันละเป็นสิบ จนพ่อของฉันทนไม่ไหวลงมาจัดการด้วยตัวเอง”
“ท่านลงโทษฉันโดยทำให้ฉันเสียพลังในตัวไปเกือบครึ่ง และไล่ฉันมาอยู่ที่คฤหาสน์นี่ภายใต้การดูแลของพ่อบ้านที่อ่อนกว่าฉันตั้งร้อยกว่าปี ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้เพราะไม่มีพลังมากพอ ถ้าเจอกับโจทย์เก่าๆ เข้าล่ะก็ได้ซี้แหงเอาง่ายๆ สิ่งที่ฉันทำในทุกๆ วันก็คือนอนหลับวันละเกือบยี่สิบชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลัง แล้วก็ตื่นขึ้นมากินอาหารมนุษย์”
“คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว…”
“อืม จะสองร้อยปีแล้วมั้ง อีกสิบกว่าปีก็ครบกำหนดที่พ่อเนรเทศฉันมา ตอนนี้พลังฉันยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่เมื่อครบสองร้อยปีพลังทุกย่างของฉันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
สองร้อยปี! หมอนี่อยู่มานานกว่าตาทวดยายทวดของเขาซะอีก นี่มันนานกว่าที่หลายๆ คนเชื่อว่าบ้านหลังนี้ร้างมาห้าสิบปีด้วยซ้ำ สรุปเรื่องพวกนั้นก็ไม่จริงเหรอ
แต่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนอีกฝ่ายอายุแค่ยี่สิบกลางๆ เอง
“ฉันอยู่ที่นี่เงียบๆ มาเป็นร้อยๆ ปีโดยอาศัยทำให้คนคิดว่านี่เป็นคฤหาสน์ร้างขนหัวลุก ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ยิ่งห่างไกลหมู่บ้านแบบนี้ยิ่งไม่มีใครผ่านไปผ่านมา แต่ยกเว้นนาย…” ร่างสูงเว้นวรรคพร้อมกับจ้องมองมายังเขา “ทำไมนายถึงกล้าเข้ามาที่นี่”
“เพราะ…ผมคิดว่ามีคนอยู่”
“หือ?”
“ก็…จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยกลัวผีเท่าไหร่ก็เลยกล้าเดินผ่านหน้าบ้านของคุณเวลาที่ไปโรงเรียนสายหรือโดดเรียน แล้วผมก็เห็นว่าบ้านคุณวังเวงก็จริง ต้นไม้ก็เหี่ยวแห้ง แต่หญ้าที่สนามกลับถูกตัดซะสั้นเกรียนหมด บ้านร้างน่ะควรจะมีหญ้ารกๆ สิ”
“หึ หมอนั่นคงไปตัดหญ้าอีกตามเคย ฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าให้ปล่อยไปแต่ก็ยังยืนยันจะตัดให้ได้”
“นั่นแหละ ผมก็เลยพนันกับเพื่อนไว้นิดหน่อยว่าสรุปคฤหาสน์หลังนี้มีคนอยู่หรือไม่มี”
“ถ้างั้นนายก็แพ้พนันแล้ว เพราะที่อยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่คน:)”
“ต่อให้จะใช่หรือไม่ใช่ผมก็ไม่ชนะหรอก โทรศัพท์ผมพังไปแล้ว ไม่มีรูปยืนยันว่าผมมาที่นี่จริงๆ” เขาว่าพร้อมกับล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาลองเปิดเครื่องอีกครั้ง และแน่นอน นิ่งสนิท
“ความลับของที่นี่สำคัญเกินกว่าจะให้หลุดรั่วออกไปได้ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวออกไปโทรศัพท์นายก็ใช้งานได้”
ร่างสูงเอ่ยก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาติดผนัง ตอนนี้ดึกมากแล้ว และอีกไม่นาน ‘กูจุนฮเว’ พ่อบ้านที่ถูกบุพการีของเขามอบหมายให้มาดูแลก็คงกลับมาถึงนี่หลังจากถูกเรียกไปที่บ้านใหญ่
“นายควรจะกลับได้แล้ว”
ร่างเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู และด้วยความที่อีกฝ่ายหันด้านหน้าปัดไว้ที่ข้อมือด้านใน จึงจำเป็นจะต้องดึงเสื้อแขนยาวที่ปิดหน้าปัดนาฬิกาไว้เพื่อดูเวลา
และบางสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาคมก็ทำให้คนเป็นเจ้าของบ้านนิ่งชะงักไป
ฟึ่บ!
“เฮ้ย!!!”
เขาร้องออกมาเสียงดังเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมืออย่างรวดเร็ว แขนเล็กรีบชักกลับมาแต่ทว่ากลับถูกมือใหญ่ๆ นั่นตรึงไว้จนเขยื้อนไม่ได้
อะ…อะไรกัน!
อีกฝ่ายจดจ้องไปยังหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของเขา…ไม่สิ ไม่ใช่นาฬิกา อีกฝ่ายกำลังจ้องข้อมือของเขาต่างหาก
และในขณะที่เขากำลังใจไม่ดีกลัวอีกฝ่ายจะนึกคึกตัดแขนเขาก่อนกลับบ้าน ข้อมือเล็กก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ เขาดึงมือตัวเองกลับมากอดไว้ทันทีพร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องลึกลงมาในดวงตาของเขา… และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขารู้สึกเหมือนบางอย่างในอกกำลังเต้นแรงขึ้นทีละนิด
“ผม…ผมกลับบ้านก่อนนะ ลาล่ะครับ”
ร่างเล็กเอ่ยรัวๆ ก่อนจะจ้ำอ้าวไปยังประตูบ้านทันที เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับแผ่นหลังเล็กที่หายไป
อีกไม่นานคิมฮันบินจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เจอมานี้…
แต่ทว่าเขากลับจะจำมันขึ้นใจ
ร่างสูงโปร่งของพ่อบ้านตระกูลคิมปรากฏกายพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับมีลางสังหรณ์ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน ร่างสูงรุดกายไปหา ‘คุณชายคนรอง’ ที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ทำตัวแหกคอกจนต้องโดนลงโทษเป็นร้อยปีว่ายังปกติดีอยู่หรือเปล่า
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพอเป็นพิธีก่อนกูจุนฮเวจะก้าวเข้ามาภายในห้อง แผ่นหลังกว้าของผู้เป็นเจ้านายปรากฏอยู่ตรงระเบียง
“มีคนเข้ามาที่นี่ตอนผมไม่อยู่เหรอครับ” เขาเอ่ยถาม
“จุนฮเว…” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปกว่าเดิม
“ครับ”
“พ่อฉันเคยบอกก่อนจะไล่ฉันมาที่นี่ว่ายังไงนะ”
พ่อบ้านหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าคุณชายของเขาจะอยากรู้ไปทำไม เพราะปกติก็แทบไม่สนใจที่ท่านชายพูดอยู่แล้ว แต่เมื่อผู้เป็นเจ้านายถามเขาก็มีหน้าที่ต้องตอบ
“ท่านบอกให้คุณจีวอนทำตัวดีๆ อยู่อย่างสงบจนกว่าจะครบสองร้อยปี ห้ามทำความเดือดร้อนให้ใคร และในระหว่างนี้ถ้าสามารถหาเจ้าสาวเจอได้ คุณท่านจะคืนพลังให้คุณชายโดยไม่ต้องรอครบสองร้อยปี แต่มีข้อแม้ว่าคุณชายต้องแต่งงานกับเจ้าสาวที่พบด้วยเช่นกัน”
แต่งงานงั้นเหรอ…
ถ้าเป็นเด็กคนนั้นจริงก็ไม่เลว
“จุนฮเว…”
“ครับคุณชาย”
“นายไปบอกพ่อว่าให้เตรียมคืนพลังให้ฉันเลยดีกว่า”
“ฉันเจอเจ้าสาวแล้ว:)”
THE END
รู้สึกดีมากๆ ค่ะที่ได้เป็นหนึ่งในกิจกรรม #HalloWINKON ถึงแม้ว่าจะแต่งแทบไม่ทันก็ตาม5555
หวัดรับประทานอย่างรุนแรงแต่เราก็ยังพยายามมาแต่งให้จบ เหนื่อยเหลือเกิน
จริงๆ มีจุนฮวานอีกเรื่องนะคะเพราะนี่สุ่มมาสองคำ แต่ส่งไม่ทันกำหนด ฮือ5555555
คิดว่าต้องได้ลงเหมือนกันค่ะแต่อาจจะช้าหน่อย รอให้หวัดหายก่อน ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ แฮปปี้ฮาโลวีนเดย์ค่ะ เลิ้บบบบบ